ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง ตอน 5 ขั้นก้าวหน้า
ศาสตร์ของพระราชา เพื่อความมั่นคง และความสุขอย่างยั่งยืน
เมื่อได้รู้จักทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง ใน 4 ขั้นแรกแล้ว ลำดับต่อมาจะเป็นการพัฒนาในบันไดขั้นที่ 5 – 9 ซึ่งเป็นขั้นต่อยอดขึ้นไป หรือที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้า กล่าวคือ เมื่อคนเราสามารถมีความพอ 4 ประการ ได้แก่ พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็นตาม 4 ขั้นพื้นฐานแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน รักษา สร้างมูลค่า เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
ขั้นที่ 5-6 บุญและทาน
ขั้นที่ 5 คือบุญ ความเจริญก้าวหน้าที่ไม่ได้วัดที่เป็นตัวเงิน แต่เป็นการสร้าง บุญ ที่พึงปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์ รวมถึงพระเจ้าแผ่นดิน บรรพบุรุษทุกผู้ทุกนามที่ได้ร่วมสร้างแผ่นดินเกิดนี้มา
ขั้นที่ 6 คือทาน การมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนเจ็บไข้ได้ป่วย คนพิการ เด็ก หรือบุคคลที่มีสถานภาพที่ลำบากต้องการความช่วยเหลือ รวมถึงธรรมชาติและสภาพแวดล้อม
บุคคล และสังคมที่ก้าวมาถึงระดับขั้นที่ 5 – 6 นี้ จะเป็นสังคมบุญ สังคมทาน คือ ไม่เน้นสร้างผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเป็นหนึ่งของการฝึกจิตใจให้ละซึ่งความโลภและกิเลสในการอยากได้ ใคร่มี ลดปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้น ตามความหมายของคำว่า “Our Loss is Our Gain” หรือ “ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี” การให้ไปคือได้มา และเชื่อมั่นในฤทธิ์ของทาน ว่าทานมีฤทธิ์จริง จะส่งผลกลับมาเป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตร เป็นเครือข่ายที่ช่วยเหลือกันในทุกสถานการณ์ แม้ในวันที่โลกนี้ประสบกับวิกฤตการณ์
ขั้นที่ 7 เก็บรักษา
ขั้นที่ 7 คือการเก็บรักษา เป็นขั้นต่อไปหลังจากที่สามารถพึ่งตนเองได้ พอมี พอกิน พอเหลือทำบุญ ทำทาน โดยเป็นการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ซึ่งเป็นการสร้างรากฐานของการเอาตัวรอดในยามที่เกิดวิกฤตการณ์ตามวิถีชีวิตชาวนาในสมัยก่อนที่จะเลือกเก็บรักษาข้าวไว้ในยุ้งฉางเพื่อให้พอมีพอกินตลอดทั้งปี มีเมล็ดข้าวพันธุ์ไว้สำหรับเป็นพันธุ์ข้าวในปีต่อๆไป การรู้จักวิธีการถนอมอาหาร การสะสมอาหารไว้กินในยามหน้าแล้ง ด้วยการแปรรูปอาหารหลากชนิดเพื่อเก็บไว้กินในอนาคต ต่างจากวิถีชาวนาในปัจจุบันที่ใช้วิธีการขายข้าวเพื่อแลกเงินทั้งหมด แล้วนำเงินไปซื้อพันธุ์ข้าวเพื่อปลูกใหม่ในปีต่อไป หรือไปซื้อผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆเพื่อมาทำกิน โดยการกระทำเช่นนี้จะส่งผลให้ขาดความมั่นคงและเปรียบเสมือนการใช้ชีวิตอย่างประมาท เพราะหากช่วงวิกฤตการณ์ อาทิ ภัยแล้ง น้ำท่วม ผลผลิตไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ ย่อมหมายถึงปัญหาหนี้สินที่จะตามมา และการขาดแคลนพันธุ์ข้าวสำหรับปลูกในปีต่อไป
ขั้นที่ 8 ขาย
ขั้นที่ 8 คือการขาย ที่สามารถทำได้ภายใต้การรู้จักตนเอง รู้จักพอประมาณ และทำไปตามลำดับขั้นทั้ง 7 ขั้นแล้ว โดยของที่จะเลือกไปทำการค้านั้นก็คือของที่มีการจัดสรรแบ่งส่วนจนแน่ชัดแล้วว่า มีพอกิน พอใช้ พอทำบุญ แจกจ่ายเป็นทาน และมีเก็บสะสมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น เช่น การทำนาอินทรีย์ ปลูกข้าวปลอดสารเคมี ไม่ทำลายธรรมชาติ ได้ผลผลิตเก็บไว้พอกิน เก็บไว้ทำพันธุ์ ทำบุญ ทำทาน แล้วจึงนำมาขายด้วยความรู้สึกของการ “แบ่งปัน” อยากที่จะให้สิ่งดีๆที่ปลูกเองเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่น
ขั้นที่ 9 กองกำลังเกษตรโยธิน
ขั้นที่ 9 คือการสร้างกองกำลังเกษตรโยธิน หรือการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งประเทศ เพื่อผลักดันให้เกิดการเอาเป็นแบบอย่าง ซึ่งจะช่วยขยายผลความสำเร็จตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิวัติแนวคิด และวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ชุมชน เพื่อการแก้ปัญหาวิกฤต 4 ประการ อันได้แก่ วิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ (Environmental Crisis) วิกฤตการณ์โรคระบาดทั้งในคน สัตว์ พืช (Epidemic Crisis) วิกฤตเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง (Economic Crisis) วิกฤตความขัดแย้งทางสังคม/สงคราม (Political/Social Crisis)
โดยสรุปแล้ว ‘ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง’ เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิต และการทำการเกษตรที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานไว้ให้ดำเนินการโดยใช้หลักปรัชญาแห่งเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวคิดในการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในพื้นที่ที่เหมาะสม กล่าวคือเป็นพื้นฐานความคิดจากการเกษตรผสมผสาน ผนวกกับการบริหารจัดการพื้นที่จำนวนน้อย การบริหารจัดการแหล่งน้ำ เพื่อให้เป็นการผลิตเพื่อยังชีพมีผลผลิตพอกินตลอดทั้งปีจนเมื่อผลผลิตเหลือแล้วจึงนำไปจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว นั่นคือเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน เมื่อก้าวข้ามขั้นพื้นฐานสู่ขั้นก้าวหน้าแล้วก็จะกล่าวถึงการร่วมกลุ่มกันของเกษตรกรเพื่อพัฒนาการผลิตสู่วิสาหกิจชุมชน และเพื่อการดูแลกันด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาโดยชุมชน การพัฒนาสังคมและการอยู่ร่วมกันโดยมีศาสนาเป็นศูนย์กลาง ก่อนขยายผลสู่ก้าวต่อไปด้วยการเสาะแสวงหาแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และยกระดับคุณภาพชีวิต