‘สติ’ จะทำให้เราเดินไปด้วยกัน

การระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ส่งผลกระทบไปทั่วทุกหย่อมหญ้า นับนิ้วมือก็ยังได้ ว่ามีธุรกิจไหนบ้างที่มี “โอกาส” ในช่วงวิกฤตนี้ ส่วนที่เหลือ คือ โดนกันหมด ธุรกิจหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เราจับตามองอยู่ก็คือ ธุรกิจแฟชั่น ซึ่งได้รับผลกระทบหนักมากจากสถานการณ์นี้ และเป็นผลกระทบที่ต่อเนื่องยาวนานมากกว่าหลาย ๆ ธุรกิจ เริ่มจากที่ชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่ ต้องหยุดเดินทางท่องเที่ยว และลด-หยุดการซื้อ ตามมาด้วยยุโรป แหล่งศูนย์กลางแฟชั่นโลกเกิดการระบาดหนัก ขณะเดียวกัน แล้วแบรนด์แฟชั่นในบ้านเราล่ะ มีวิธีคิด หรือปรับรูปแบบการรับมืออย่างไร เก๋ – บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ พอแล้วดี The Creator รุ่น 2 มีคำตอบให้เราฟังกัน แต่ทั้งในภาคการผลิต การขาย ที่หยุดชะงักเกือบ 100% บรรดาผู้ค้าปลีกและแบรนด์แฟชั่นมากมายกำลังได้รับผลกระทบรุนแรง ทั้งปิดทำการ ปิดร้าน ปิดโรงงานผลิต ปลดพนักงาน การใช้หลักปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับธุรกิจแฟชั่น เขาทำกันอย่างไร?

อยากให้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่า ทำไมคุณถึงลุกขึ้นมาทำโปรเจ็กต์ที่ช่วยเหลือสังคม แล้วทำอย่างรู้จักตนเอง มีเหตุ มีผล มีภูมิคุ้นกัน ขนาดไหน?

ช่วงโควิดนี้ เราเริ่มจากว่าเห็นวิกฤติครั้งนี้ เก๋ก็พิจารณาตนเองก่อนว่า เราเริ่มจากรู้จักตัวเองก่อน เหมือนเราตั้งสติก่อน พอวิกฤติครั้งนี้ เก๋เริ่มจากว่า เรารู้จักตัวเองว่าทำอะไรได้บ้าง เก๋เลยพิจารณาว่า เราทำแอลกอฮอล์ไม่เป็น ทำผ้าปิดปากไม่เป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด ดังนั้น เราเลยรู้สึกว่า ในเมื่อไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด เราปล่อยให้คนอื่นเขาได้มีงาน มีอาชีพ คนที่เขาถนัดได้ลุกขึ้นมาทำ แล้วก็ยังมีรายได้เลี้ยงดูเขาไป ส่วนของเราก็รู้สึกว่า แล้วอะไรล่ะที่เราถนัดและทำได้ดี เก๋ก็รู้สึกว่า เราก็ยังทำกระเป๋ากับรองเท้าได้ดีอยู่ คือสิ่งเดียวที่เราถนัด เราทำได้ แล้วเราก็รู้สึกไปอีกว่า แพสชั่นของเรา ตัวตนของเราจริงๆ ในการที่ทำแบรนด์ เกิดจากว่า เรายังเชื่อมั่นเสมอว่า กระเป๋าของเก๋ยังสามารถเป็นสะพานเชื่อมกันระหว่างคนทำกับผู้รับได้ เก๋ยังเชื่อพลังนั้นอยู่ แล้วเชื่อว่า ไม่ว่าวิกฤติจะเป็นอย่างไร เรารู้สึกว่ามันต้องทำได้สิ มันต้องไปได้ เราก็ยังยืนยันในสิ่งที่เป็นตัวตนเรา เราก็ยังทำในสิ่งเดิมอยู่

แล้วมันเชื่อมโยงอย่างไร คือ การมีเหตุและผล คือเก๋รู้สึกเหมือนกับว่า ถ้าเรายังทำตรงนี้ เชื่อในสิ่งเดิมอยู่ คืออาจารย์เขาก็ยังมีงาน มีรายได้ มีอาชีพ แล้วก็เป็นสิ่งที่ดีที่ว่า เขาก็ยังได้ทำงานกระเป๋าส่งต่อไปยังลูกค้า เพื่อที่ว่าให้ลูกค้ายังอุดหนุน หรือว่าช่วยซับพอร์ตให้กับอาจารย์ ให้อาจารย์ยังมีงาน มีอาชีพ แล้วองค์ความรู้นี้ ก็ยังคงสืบทอดต่อเนื่องไปอยู่ แล้วส่วนลูกค้าก็รู้สึกแฮปปี้ว่า กระเป๋าใบหนึ่งถูกทำโดยอาจารย์ช่างฝีมือเพียงหนึ่งท่านนะ มันทำให้เขายิ่งรู้สึกดีที่ ณ วิกฤติแบบนี้ เขารู้สึกว่า เงินที่เขาจ่ายมาให้เรา มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เขาได้รับ ที่ว่าเขาไม่ได้ซื้อของที่เป็น Mass Production เขาไม่ได้ซื้อเพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย แต่ที่เก๋ได้รับฟีดแบ็กกับลูกค้าคือ ลูกค้าเขาบอกว่า ดีใจมากที่ได้รับกระเป๋าใบนี้ที่อาจารย์คนนี้ทำให้เขา เพราะเขารู้สึกว่า อาจารย์คนนี้ส่งต่อพลังดีๆ ให้เขา ให้เขารู้สึกว่า ช่วงวิกฤติแย่ๆ แบบนี้ คือ ท้อ โดนลดงาน ลดเงินเดือน เราสแกนคิวอาร์โค้ดแล้ว เห็นอาจารย์คนนี้กว่าจะมาเป็นช่าง กว่าจะฝ่าฟันวิกฤติต่างๆ มา เขาสู้กว่าเราอีก ดังนั้น ทำไมเราถึงจะไม่ลุกขึ้นมาสู้ ทำให้เป็นการส่งต่อกำลังใจไปให้ลูกค้า ลูกค้าก็แฮปปี้ว่า เหมือนเงินที่เขาจ่ายให้เรา เขาซื้ออะไรมากกว่าที่เป็นของแฟชั่นฉาบฉวย เขาซื้อคุณค่าชีวิตของคนทำ และซื้อคุณค่าให้กับตัวเองด้วย

พอสุดท้ายแล้ว การมีภูมิคุ้มกัน เก๋ก็รู้สึกว่า กระเป๋าของเรามันเป็นพาวเวอร์ทั้งคนรับกับคนให้ แต่มันคงจะดีกว่า ถ้าในเมื่อเราไม่ถนัดทำแอลกอฮอล์ ทำผ้าปิดปาก แต่เราช่วยเหลืออะไรสังคมได้บ้าง ดังนั้น เรารู้สึกว่าการ empower นี้ ไม่ใช่ empower ทั้งผู้รับและผู้ให้แล้ว น่าจะเป็น empower together คือ ต้องทำด้วยกัน เราจะเดินไปด้วยกันหมดทุกๆ ชีวิต ดังนั้น ก็เลยรู้สึกว่า มันจะต้องจัดสรรปันส่วน อย่างการที่มีเหตุและผลในการวิเคราะห์เรื่องของไฟแนนเชียลของตัวเราว่า เราได้รายได้เท่าไหร่ แล้วเท่าไหร่ที่เราหักลบต้นทุนแล้ว เราโอเค เรามีเงินเหลือที่จะจ่ายให้คนในครอบครัว ช่างฝีมือเรา และเรามีรายได้อีกกี่เปอร์เซนต์ที่เหลือ ที่เราพอที่จะไปซัพพอร์ตส่วนอื่นๆ อันนี้เก๋ก็เลยคิดจากที่ว่า ปกติเราอยู่ห้าง พอห้างถูกปิด ห้างโดนหัก GP อยู่แล้ว 35% ทำไมเราไม่เอา 30% ตรงนั้น ก็เหมือนตอนนี้อยู่ห้างนั่นแหละ เอามาแบ่งหรือสร้างอะไรดีๆ ให้กับชีวิตคนอื่น ก็เลยเกิดเป็นที่มาว่า ไหนๆ ก็ชื่อแบรนด์ 31 Thanwa แล้ว เราเลยอยากให้ 31 นี้มีค่ามากๆ โดยการที่เราแบ่งรายได้ 31% เลย โดยที่ลูกค้ากับอาจารย์ก็จะได้รู้สึกดีว่า มีส่วนร่วมกับสิ่งที่อาจารย์ได้ตั้งใจลงมือทำ ส่วนคนที่เป็นลูกค้าเขารู้สึกดีที่ว่า เขาจ่ายเงินไปในช่วงนี้ เขาบอกเก๋ว่าสวย คือ ปกติแบรนด์แฟชั่น รู้สึกว่าแต่งตัวแล้วสวย แต่สวยในทีนี้ คือ เขาสวย ที่ทำให้เขาได้สร้างคุณค่าให้กับอีกหลายชีวิตต่อไป เก๋เลยรู้สึกว่า นี่แหละเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับกันและกัน เพราะเก๋ก็เชื่อว่า เพราะเรามีลูกค้าที่ซัพพอร์ตเรา อาจารย์และเก๋เลยมีรายได้อยู่ แล้วเรามีรายได้ส่วนที่เหลือแล้ว ทำไมเราแบ่งปันให้กับคนอื่นไม่ได้ เลยรู้สึกว่า เราก็อยากเอา 31% นี้ไปช่วยกับทีมแพทย์ กับคนที่เขาไม่มีรายได้ ไม่มีอาหาร แล้วเรารู้สึกว่า มันก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ว่าเราได้กำไรน้อยลง แต่ทำให้อีกทุกชีวิตไปด้วยกัน แล้วมันยิ่งตอบสนองฟี๊ดแบ็กกลับมาว่า ทำให้เรายั่งยืนขึ้นตรงที่ว่า ลูกค้าเลือกของเรา เพราะว่ามีคุณค่าต่อใจ แล้วต่อชีวิตใครอีกหลายคน แล้วมันเลยทำให้เราอยู่รอดในช่วง CIVID-19 ได้อย่างสวยงาม แล้วดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ในวิกฤติ COVID-19 มันทำให้แบรนด์ 31 Thanwa ได้รับผลกระทบอะไรบ้างไหม?

กระทบออฟไลน์เป็นหลัก เพราะว่าเราถูกปิดห้าง ปิดทุกสาขา ดังนั้น สิ่งที่กระทบคือรายได้ที่มาจากออฟไลน์ จากปกติที่จะมีลูกค้าชาวต่างชาติหรือลูกค้าที่ค่อนข้างเวิลด์ไวด์เข้าถึงเรา ดังนั้น ปัญหาอย่างแรกเลยคือออฟไลน์ ส่วนปัญหาอย่างที่สองตามมาคือ เราต้องดูแลพนักงานขาย ที่พอห้างปิดไป เขาไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ ไม่มีงาน แต่ในความโชคดี คือ โรงงานเราก็ยังทำอยู่ ดังนั้น สิ่งที่เรากระทบเรื่องออฟไลน์ที่เป็นปัญหารุนแรงของเรา อันที่สอง คือ พอออฟไลน์เป็นปัญหารุนแรง มันก็ส่งต่อมาเรื่องของการที่ว่า เราก็ต้องปรับแผนธุรกิจ ปรับแผนไฟแนนเชียลใหม่ เพื่อว่าจะทำอย่างไรให้รายได้ไปต่อไปได้ ทำอย่างไรให้เราก็ยังเลี้ยงดูกับคนที่ว่างงาน พนักงานที่ตกงาน เราก็ต้องสามารถซัพพอร์ตเขาในส่วนนี้ หรือว่าการจัดหน้าที่เขาใหม่หมด ว่าจากเมื่อก่อนที่ขายออฟไลน์ เราดึงเขามาช่วยขายออนไลน์ได้อย่างไรได้บ้าง

การเป็นพอแล้วดีมันช่วยให้เราดีลกับสถานการณ์ COVID-19 นี้อย่างไร?

อย่างแรก ถ้าเก๋ไม่ได้เรียนรู้พอแล้วดี เราคงไม่มีสติ อย่างแรกเลย เรามีสติมากๆ รับกับเหตุการณ์แบบนี้ แล้วการที่เป็นพอแล้วดี ทำให้เก๋กล้าที่จะลุกขึ้นมาทำเพื่อคนอื่นได้มากขึ้น เพราะว่าถ้าเราไม่ได้เป็นพอแล้วดี เรารู้สึกว่าเราจะเอาแต่รายได้ตัวเอง จะขายผ้าปิดปาก จะทำอย่างไรก็ได้ให้รวย แต่พอเป็นพอแล้วดี เก๋ก็รู้สึกว่า ก็ปล่อยให้คนอื่นทำไปสิ เราทำในสิ่งที่เราถนัด แล้วเราก็ยังดูแลคนในครอบครัวเราได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ความเป็นพอแล้วดี เลยทำให้เก๋รู้สึกว่า เป็นความโชคดีของเก๋ว่า แบรนด์แฟชั่น ธุรกิจแฟชั่น มัน Fast Fashion พอเป็น COVID-19 คือ Slow Motion เก๋เลยรู้สึกว่า เราหาโอกาสดีในช่วงนี้ที่ทำให้แบรนด์เราลุกขึ้นมาสร้าง Impact อะไรบางอย่างกับความ Slow Motion เราเลยรู้สึกว่า พอเรายิ่งตอกย้ำในเรื่องของการกล้าลุกขึ้นมาในการที่จะบอกว่า กระเป๋าเพียงใบเดียว empower ได้ทุกอย่างจริงๆ ดังนั้น เลยทำให้เรากล้าที่จะทำ กล้าที่จะนำเสนอคุณค่าของแบรนด์ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น กล้าที่จะบอกว่า ฉันไม่จำเป็นที่จะต้องทำของตามกระแส เราก็ยังเป็นสิ่งที่เราเป็นอยู่ ที่ลูกค้ารักเรา แล้วเราก็สามารถที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคมได้

การลุกขึ้นมาทำอะไรอยู่บนพื้นฐานของแบรนด์ตัวเองที่เข้าใจจุดยืนของตัวเอง ทำไปแล้วมันได้อะไรกับสังคม?

หลักๆ เลยเรารู้สึกว่า ถ้าแต่ก่อนเราคิดแต่ตัวเอง เราก็คงคิดว่าทำอย่างไรให้รวย หรือทำอย่างไรให้แบรนด์เราดัง แต่พอการที่เราต้องนึกถึงส่วนเป็นสังคม ที่มันใหญ่ขึ้น เวลาเราคิดหรือเราทำอะไร การวางแผน ระบบการคิดงาน ทำงาน มันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่ก่อนก็จะคิดว่า ทำอย่างไรให้รายได้คูณไปกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้คือ จะคิดไปพร้อมๆ กันว่า มันดีต่อใจลูกค้าอย่างไร มันดีต่อใจครอบครัวอย่างไร มันดีต่อใจในสังคมอย่างไร เราเลยรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นตัวเราเอง มันสามารถเกื้อกูลให้กับคนในครอบครัวช่างฝีมือ ให้เขายิ่งรู้สึกดีว่า สิ่งที่เขาทำไป ลูกค้ารับรู้นะ แล้วยิ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกดีขึ้นไปอีกว่า สิ่งที่ลูกค้าทำ มันทำเพื่อชีวิตคนอื่นอีกหลายๆ คน เราเลยรู้สึกว่า การที่เป็นตัวเราอย่างนี้ เราก็แค่จะบอกคนอื่นว่า ของแฟชั่นเพียงใบเดียว แต่มันก็สามารถสร้างความยั่งยืนให้กับโลก ให้กับหลายๆ คนได้

ระหว่างการทำธุรกิจที่มีกำไรกับการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม มองว่า 2 เรื่องนี้ให้ลำดับความสำคัญกับมันอย่างไร? หรือเราบาลานซ์มันได้อย่างไร? จุดสมดุลมันอยู่ตรงไหน?

มันต้องสมดุลกันนะ ถ้าเราไม่มีกำไร เราก็คงเลี้ยงดูตัวเองไม่รอด เลี้ยงดูคนอื่นจะไปรอดได้อย่างไร ดังนั้น สิ่งสำคัญของเก๋คือต้องสมดุล แล้วเราจัดการได้อย่างไร เก๋ว่ามันสมดุลและต้องไปพร้อมๆ กัน แต่ว่ามันก็ต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน เราก็ต้องบริหารจัดการในเรื่องของไฟแนนเชียล ให้เราพออยู่ เก๋ใช้คำว่า เราพออยู่ได้ ถ้าเป็นเราสมัยก่อนที่ยังไม่ได้อยู่พอแล้วดี คือ เราต้องอยู่ได้ แต่อันนี้คือเราพออยู่ได้ พอทีนี้เราก็ดูว่า จะบริหารจัดการไฟแนนเชียลอย่างไร ให้ทั้งเราและคนในครอบครัวเราพออยู่ได้ แล้วพอเราไปถึงสเตจที่เราพออยู่ได้แล้ว เก๋รู้สึกมันจะบาลานซ์ว่า งั้นเราก็ไม่จำเป็นจะต้องมีกำไรอะไรเยอะมากมาย เราลองแบ่งสรรปันส่วนว่า เหลือเท่านี้ก็อยู่ได้แล้ว แล้วเหลืออีกก้อนหนึ่งเท่าไร ถ้าเหลืออีกก้อนหนึ่งเท่านี้เราพอที่จะลุกขึ้นมาเอาก้อนนี้มาทำอะไรให้กับสังคมได้บ้าง แล้วเก๋ถึงว่า จะเป็นการบาลานซ์กันที่ว่า แทนที่แต่ก่อนเราจะคิดตรรกะที่ว่ากำไร เราอยากจะได้ร้อยก็คือร้อย แต่ตอนนี้เราจะมีต้นทุน ราคาขาย กำไร เรารู้อยู่แก่ใจ สมมติว่าเราเอากำไร 50 บาท เราอยู่ได้แล้ว อีก 50 บาทจะเอาไปทำอะไรบ้าง

เหมือนเราเป็นแบรนด์แฟชั่น เก๋รู้สึกว่า อย่างเพื่อนเก๋ทุกแบรนด์ลุกขึ้นมาทำผ้าปิดปากหมดเลย เก๋ก็เข้าใจว่า เหมือนในโจทย์ที่ดู โยนมาในกรุ๊ป เราเข้าใจนะว่า บางคนต้องหาเลี้ยงทุกคน มันก็ต้องทำงานก่อน เก๋รู้สึกว่า เพื่อนเก๋ทุกคนเป็นอย่างนั้นหมด เราจะลุกขึ้นมาทำก็ได้ไง แต่เก๋รู้สึกว่า เราไม่ถนัด ดังนั้น เราเลยรู้สึกว่า ยังเชื่อมั่นในเป็นอยู่เสมอ แต่เราจะทำอย่างไรกับมันให้เกิดผล Impact ที่สุดในช่วงนี้ แล้วเก๋รู้สึกโชคดีอย่างที่บอกว่า จาก Fast เป็น Slow Motion Fashion ดังนั้น เก๋เลยรู้สึกว่าพอ Consumer เราเข้าใจ Target Segment ชัดเจน Segment เก๋ เป็น Segment ที่อาจจะไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไร เพราะเขามีรายได้ประจำ แต่สิ่งสำคัญคือ ช่วงนี้เป็น Slow เก๋ก็นึกถึงพฤติกรรมลูกค้าของเราว่า เป็นอย่างไร อ่านคอนเทนต์ละเอียดกว่า มีเวลาอ่าน แต่ก่อนไม่มีเวลาอ่าน ตอนนี้แบรนด์ของเก๋จะเน้น Storytelling มากๆ เพราะว่าพอเน้นไปแบบนี้ แทบไม่ต้องซื้อ Ads. ไม่ต้องโปรโมทเลยว่า ลดกี่เปอร์เซนต์ ลูกค้าซื้อเยอะกว่าเดิม เรารอดจากวิกฤตินี้ได้ด้วยการนำเสนอคุณค่าของแบรนด์เราเอง โดยที่แบรนด์เพื่อนของเก๋ลด 20-30% ทำผ้าปิดปาก มีของแถม คือมันก็ได้แค่ช่วงนี้แหละ เพราะช่วงนี้คนทำผ้าปิดปากหมดทุกแบรนด์ วันหนึ่งของคุณ มันก็ขายไม่ได้ แล้วคุณจะขายอะไร ก็ยังแอบคุยกับเพื่อนเลยว่า บางแบรนด์ก็ยังเสียดายว่า ฉันเป็นแบรนด์แฟชั่นบิ๊กแบรนด์ ไม่ลุกขึ้นมาทำเพื่อสังคม แต่ก็เข้าใจนะว่า ก็ต้องเลี้ยงดูคนในองค์กร แต่สุดท้ายแล้วยังไง ต้องขายผ้าปิดปาก ขายชิลด์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราเลยรู้สึกว่า ยังยืนยันในสิ่งที่เราเป็น แล้วยิ่งทำให้คนอื่นเห็นว่า แบรนด์เราเป็นอย่างไร แล้วเป็นความโชคดีว่า มาได้เพราะการนำเสนอคุณค่าของเราจริงๆ แล้วลูกค้าก็ไปด้วยกันหมด เราเข้าใจลูกค้า เข้าใจ Segment เราจริงๆ ว่า เขามีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แล้วเราเข้าถึงเขาได้อย่างไร