3 ห่วง 2 เงื่อนไข ช่วยคุณในวันที่เจอการเปลี่ยนแปลง

สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่า สร้างผลกระทบต่อการทำธุรกิจอย่างใหญ่หลวง จนทำให้หลายๆ แบรนด์จำเป็นมีการปรับตัวเพื่อเอาตัวเองให้อยู่รอด ซึ่งการปรับตัวของแต่ละแบรนด์ล้วนแล้วมีความแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ดี กับแบรนด์แฟชั่นเพื่อสังคมอย่างยาโน ที่นำโดยคุณเก่ง – นครินทร์ ยาโน จากพอแล้วดี The Creator รุ่น 4 เขาไม่เพียงแต่จะฟันฝ่าสถานการณ์นี้ด้วยการปรับตัวเองอย่างมีเหตุมีผลเท่านั้น แต่การนำหลักการ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ ก็ส่งผลให้แบรนด์ยาโนได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือทุกคนที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่ธุรกิจด้วย ว่าแต่เขาทำอย่างไร? และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง? ในบทความนี้บรรจุคำตอบดังกล่าวเอาไว้หมดแล้ว…

กับโปรเจ็คผ้าปิดปากที่เชียงใหม่ เล่าให้ฟังหน่อยว่า ในมุม 3 ห่วง 2 เงื่อนไข เรารู้จักตัวเอง มีเหตุมีผล และมีภูมิคุ้มกันอย่างไร?

“จริงๆ ที่ทำอยู่มี 2 กิจกรรม ตอนแรกสิ่งที่เกิดขึ้นตอนมีโควิด ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา คือ เรื่องของการขาดแคลนหน้ากากผ้า แต่ที่ทำตอนต้น เราไม่ได้ทำช่วงที่คนทำตามกระแสกันมาก เพราะว่าตอนที่โควิดเข้ามา คนที่ทำสิ่งทอ เสื้อผ้า ทุกคนหันไปทำหน้ากากผ้ากันหมด แต่ตอนนั้นเรายังไม่ทำ ตอนเริ่มต้นโควิดมาใหม่ๆ สิ่งที่พี่ทำตอนแรก คือ การคาดคะเนและการตั้งรับกับปัญหาก่อน เพราะพี่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเราไม่มีความพร้อม เราช่วยคนอื่นไม่ได้

อย่างไรก็ดี พอมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มันกลายเป็นสิ่งที่อยู่ๆ เราก็คิดออกมาเลยว่า แล้วเราจะช่วยอะไรได้บ้าง แล้วเราก็พยายามหาวิธีที่จะเอาธุรกิจของเราไปเชื่อมกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนข้างนอกได้อย่างไร ดังนั้น เมื่อเขาหาหน้ากากผ้า เราสามารถหาตรงนี้ได้อยู่แล้ว และเราเองก็มีเวลา เลยหาคนงานที่เรามีอยู่มาเริ่มทำตัวนี้ แต่พอเริ่มจะเสร็จก็เลยคิดว่า ถ้าเราทำแล้วเราขายอย่างเดียว มันก็แค่นั้น เราไม่ได้เดือดร้อนที่จะต้องหารายได้เข้ามาแล้ว เพราะว่าเราจัดการหลังบ้านของเราแล้ว ดังนั้น ก็เลยคิดว่า ถ้าเราทำหน้ากากผ้า ทำอะไรก็ได้ที่เหมือนขาย ๅ ผลิต 2 คือทำแบบ 1 for 1 ไปเลย ลูกค้าซื้อ ๅ ชิ้น แต่การผลิตของเราเพิ่มเท่าตัว เพื่ออันหนึ่งเราไปให้ลูกค้า อีกอันเราเอาไปให้กับคนที่เราต้องการจะช่วย ดังนั้น ข้างหลังบ้านของเรา จากออร์เดอร์แค่หนึ่ง มันก็คูณสอง มันเป็นการให้ประโยชน์กับคนที่ผลิตงานหลังบ้านเราด้วย

เรายอมที่จะลดกำไร ยอมที่จะได้กำไรน้อยที่สุด เพื่อจะเกิดอะไรที่ดีๆ ขึ้น สามารถช่วยเหลือคนงานของเราได้ สามารถช่วยเหลือคนข้างนอกได้ เราสามารถเชื่อมความรู้สึกดีๆ ความตั้งใจดีๆ ระหว่างตัวเรากับลูกค้าของเราได้ เพราะฉะนั้น มันมีแต่ได้กับได้หมดเลย พี่คิดว่า ตรงนี้มันสามารถตอบได้ คือ เราต้องรู้จักตัวเองก่อนว่า เราเก่งอะไร เราพร้อมอะไร เราต้องไม่มีปัญหาก่อนจะช่วยเหลือคนอื่น เมื่อได้อย่างนี้แล้ว พี่ก็เลยเริ่มทำเลย

ตอนที่พี่เริ่มทำมันก็ขึ้นอยู่กับข้อที่สอง คือ การมีเหตุมีผล ตอนแรกพี่ก็ไม่กล้าที่จะทำหน้ากากผ้าออกมานะ ถ้าหากว่าพี่ไม่มีบริษัทซัพพลายเออร์ที่ทอผ้า แล้วเป็นผ้าคุณสมบัติที่ดีพอ ถึงอย่างนั้น พี่ก็คิดแล้วว่าซัพพลายเออร์ของพี่สามารถที่จะซัพพลายตัวผ้าที่สามารถป้องกันเรื่องของน้ำลาย และไวรัสได้ พอซัพพลายเออร์บอกว่า เรามีผ้านาโนที่กันเชื้อได้ มีผ้ามัสลิน 100% พี่ก็เลยบอกว่าโอเค ถ้าเราทำออกมาแล้ว ขอทำแบบว่า เรารู้สึกมั่นใจว่า เราให้สิ่งดีๆ เหล่านี้กลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า จะเป็นคนที่เราเอาไปบริจาคแจกจ่าย พอได้คำตอบทุกอย่างแล้ว ก็เลยตัดสินใจทำเลย เริ่มทำแคมเปญ

สำหรับในมุมของพี่เรื่องภูมิคุ้มกันนั้น คือ การดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ประกอบการธุรกิจไม่เคยเจอกับเหตุการณ์นี้มาก่อน เพราะฉะนั้น เรากำลังเจอกับปัญหาใหม่ พี่คิดว่า ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นก็เหมือนกับที่เราหาวัคซีนป้องกันโควิด เราก็หาวัคซีนป้องกันธุรกิจของเราเหมือนกัน เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้ขึ้น เราก็ไม่ปรับเปลี่ยน เราก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาที่เจอจังๆ ได้อย่างไร นี่คือเรื่องที่หนึ่ง

เรื่องที่สอง พอหลังจากที่เราทำตรงจุดนี้ พี่เชื่อว่า เราสามารถทำให้ลูกค้าหรือคนที่เห็นเราทำงานตรงนี้เห็นว่า ที่จริงแล้วแบรนด์ของเรามีนิสัยใจคออย่างไร ในยามเดือดร้อนจริงๆ เราไม่ได้ไปหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของคนอื่น ในความเดือดร้อนตรงนี้ เราสามารถที่จะเป็นส่วนหนึ่งกับทุกคน เราแชร์ความรู้สึกกับความรู้สึก แชร์สิ่งที่เจ็บปวดเหมือนกัน แต่เราช่วยกันและกัน”

กับสถานการณ์โควิด-19 ทุกคนต่างก็ได้รับผลกระทบกันหมด แต่คุณเก่งก็ยังลุกขึ้นมาทำตรงนี้อยู่ ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ อะไรที่จุดประกายให้คุณเก่งต้องลุกขึ้นมาทำ?

“มันเป็นจากตัวเราเอง เพราะว่าแบรนด์ยาโนไม่ได้เกิดจากธุรกิจแล้วคิดแค่กำไร แต่เกิดจากสิ่งที่เป็นปมว่า เราต้องการที่จะสร้างคุณค่าจริงๆ เมื่อก่อนเราไม่รู้จะปลดปล่อยคุณค่าของเราให้คนอื่นเห็นอย่างไร เพราะฉะนั้น พอหลังจากที่เราทำเสร็จ เราได้ปลดปล่อยคุณค่าในตัวเอง (ได้แสดงศักยภาพของตัวเองผ่านการให้คนอื่น) แล้วไม่ใช่แค่พี่คนเดียว ทุกคนที่อยู่ข้างหลังพี่มีปมมีประเด็นแบบนี้เหมือนกันหมด ด้วยเหตุนี้ พอเราทุกคนมาช่วยกันทำ ทุกคนก็จะได้ทั้งคุณค่าในตัวเองที่ทำงาน ทุกคนจะภาคภูมิใจว่า อย่างน้อยชิ้นงานที่ทำได้ส่งให้คนอื่นได้ใช้ด้วย ได้มีประโยชน์ด้วย มันเป็นคุณค่าทางใจล้วนๆ เลย”

การเป็นพอแล้วดี The Creator ช่วยให้พี่เก่งรับมือกับสถานการณ์โควิดอย่างไร?

“ที่จริง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข เราทำของเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่พอเข้ามาพอแล้วดี เราเข้าใจในสิ่งที่เราทำมาก่อนว่าห่วงนี้จะใช้อย่างไร พี่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เราฉลาดขึ้น และมีสติมากขึ้นในการที่มีปัญหา เราจะหันมามองก่อนเลยว่าเราเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะจัดการมันอย่างไร คือมันทำให้เราไม่รนราน มีสตินิ่งกับปัญหา

พอเราเข้าไปพอแล้วดี เรารู้จักตนเองจากห่วงแรก เกี่ยวกับเรื่องของแบรนด์โมเดล BMC พอมาเรื่องของภูมิคุ้มกัน การเหตุมีผล เราจะบริหารความเสี่ยงในธุรกิจ เรื่องการสื่อสาร เรื่องการที่จะทำกิจกรรม เรารู้ว่า Social Issue เป็นอย่างไร แล้วไปจัดการกับมันอย่างไร เพราะฉะนั้น เราจะไวและเข้าใจกับสิ่งที่พอมีปัญหาขึ้นมา อันนี้มันเป็น Social Issue อย่างหนึ่งเหมือนกัน แล้วตัวเราจะไปช่วยตรงจุดนี้ได้อย่างไร เราจะฉลาดมากขึ้นในการไปช่วยคนอื่น”

ระหว่างกำไรและการสร้างประโยชน์ให้สังคม พี่เก่งมองเรื่องนี้และลำดับความสำคัญกับมันอย่างไร?

“อย่างที่บอกไปแล้ว พี่ว่าตัวเราต้องอยู่ได้ก่อน แล้วอีกอย่างหนึ่ง พี่ศึกษาเกี่ยวกับกิจการเพื่อสังคมมานาน เพราะฉะนั้น มันก็คือหัวใจของกิจการเพื่อสังคมเลย เมื่อก่อนทุกคนก็จะคิดว่า เราทำกิจการเพื่อสังคม เราทำแบบช่วยสังคม ไม่มีกำไร เราจะไปได้ไหม เขาตอบอยู่แล้วว่า เมื่อคุณไม่มีกำไร คุณก็ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ ด้วยเหตุนี้เอง พี่เลยนึกถึงตรงนี้ก่อนเลยว่า ถ้าเราเดือดร้อน เราจะไม่มีแรงไปช่วยคนอื่น พี่ก็ต้องดูก่อนเลยว่า มันมีอะไรที่จะมาเลี้ยงตัวเองได้ เราจะต้องหาเงินเพื่อที่จะเข้ามาเลี้ยงตัวเองให้ได้ มีกำลังก่อน แล้วหลังจากนั้นเรามีกำลัง เราถึงไปช่วยเหลือผู้อื่น”

สิ่งที่แบรนด์ยาโนจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้มีอะไรบ้าง?

“อันที่หนึ่ง พี่ไม่แน่ใจว่าโควิดจะยังอยู่กับเราหรือเปล่า หรือมันจะหายไป ถ้ามันหายไป อย่างน้อยเราก็อาจจะกลับไปเป็นยาโนเหมือนเดิม แต่เรามีประสบการณ์ในการขายของออนไลน์มากขึ้น อันนี้พูดถึงเกี่ยวกับการทำการตลาดก่อน เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ได้เลวร้ายเลย จากเมื่อก่อนเรารู้สึกว่า เราจะต้องไปเจอกับลูกค้า เราจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ ต้องลั้ลลากับลูกค้า เพราะนั่นคือตัวเรา เรารู้สึกว่าเหมือนไปเยี่ยมเยือน ถ้ามันกลับมาเหมือนเดิม เราก็มีตรงนั้นเหมือนเดิม แต่ว่าพอมันเป็นแบบนี้กลายเป็นว่า มันก็มีข้อดีในการที่เราอยู่กับบ้าน หนึ่ง ค่าใช้จ่ายเราน้อยลง เราสามารถที่จะทำงานมากขึ้น ไม่มีวันหยุดเหมือนกัน เป็นเหมือนเดิม แล้วรู้สึกว่ามีงานมากกว่าเดิมมากขึ้นด้วยซ้ำ เรามีเวลาอยู่กับตัวเอง เรามีเวลากับการคิดสร้างสรรค์งาน สอง มันทำให้เรารู้สึกว่าอะไรก็ไม่แน่ไม่นอน ความเสี่ยงจากเดิมที่เราคิดว่าแค่เรื่องคู่แข่งทางการค้า เรื่องปัจจัยภายนอก ซึ่งเมื่อก่อนเราเจอเรื่องของการเมือง เงินบาท เศรษฐกิจโลก แต่ตอนนี้มันกลายเป็นอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ตรงจุดนี้ทำให้เรารู้สึกว่า มีโจทย์อีกอันที่ทำให้เราเตรียมตั้งรับไว้ว่า อีกหน่อยอาจจะเจอแบบนี้อีก”