The Yard กับโควิด-19

ย้อนเวลาไปหนึ่งปีพอดิบพอดี เกินมาก็นิดหน่อย วันที่เหมือนสึนามิพัดมาจากไหนก็ไม่รู้ พาแขกที่กำลังนั่งหยอกล้อกันในสนามโฮสเทลไปหมดเลย นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยกันกลับประเทศเพราะประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงเราประกาศห้ามบินเข้าออกหมดแล้ว แขกออกไปจนหมดบ้านเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563

The Yard เราเป็นที่พักประเภทโฮสเทล ในย่านอารีย์ มีชื่อภาษาไทยว่า บ้านญาติ ซึ่งเชื่อว่าทุกคนบนโลกนี้คือพี่น้องกัน เราเองก็ไม่ได้แตกต่างกับผู้ประกอบการคนอื่นเลย สิ่งที่จะไม่มีวันลืมคือ ความมึนงง สับสน งงกับเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นและดันเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว รายชั่วโมงซะด้วยซิ

ยอมรับเลยว่านอนหลับได้ไม่สนิทนักอยู่เป็นอาทิตย์ คิดวนไปมาว่าเราจะแก้ปัญหานี้ยังไงดีนะ นอนคิดถึงชีวิตที่ปกติสุขเหมือนทุกๆวัน เมื่อเหตุการณ์แย่ลง ทุกคนอยู่ในความตระหนกจนกระทั่งทางการประกาศให้ล็อกดาวน์ ทุกคนต้องอยู่บ้าน
หันมาดูเงินที่มีอยู่ ก็คงจะยืดเวลาได้อีกไม่นาน เราก็คิดวนอยู่อย่างนั้นว่าจะจัดการกับรายได้เและทีมงานของรายังไงดี ช่วงนั้นต่อให้ทำโปรโมชั่นห้องพักดีอย่างไรก็ไม่มีคนเข้าพักอย่างแน่นอน เพราะไม่ได้เป็นช่วงที่ผู้คนจะมีอารมณ์พักผ่อนในโรงแรม แถมยังไม่มีใครอยากพบเจอใครอีกด้วย

ปัญหาที่แก้ไม่ได้ อย่าไปเสียเวลาแก้

พอคิดได้อย่างนั้นเหมือนเป็นวันที่ตัดสินว่าเรากำลังต้องก้าวไปเส้นทางใหม่แล้วนะ เส้นทางเดิมไม่มีทางทำอะไรได้แล้วในเวลาแบบนี่ นี่คือสิ่งที่เราบอกกับตัวเอง เราจัดการกับโรคระบาดนี้ไม่ได้ เราหาทางแก้ปัญหาโดยยังยึดว่าเราจะทำที่พักอยู่นั้นเป็นไปไม่ได้ เราต้องหยุดคิด หยุดคิดว่าเราคือธุรกิจโรงแรม เราทำอะไรได้บ้างจากสิ่งที่เรามีอยู่

หยุด วาง ‘ตั้งสติ’ ประมาณตน ประเมินรอบข้าง

เมื่อตั้งสติได้ เราเรียกทีมงานพูดคุย พยายามบอกน้องๆว่าทุกอย่างมันจะไม่กลับมาเร็วๆนี้นะ ขอให้ทุกคนยืดหยุ่นที่สุดทั้งหน้าที่และเวลางาน ทุกคนตกลงตามนั้น

เมื่อเราตัดสินใจ วางปัญหาเดิมไว้ เราได้สติและความสนุกกลับมา เราเริ่มมองเห็นโอกาสอื่นๆด้วยสายตาแห่งการอยากรู้ อยากอยู่ร่วมกับประวัติศาสตร์โลกครั้งนี้ คิดว่าเป็นเหมือนการได้ร่วมสงครามครั้งใหญ่ ที่ไม่น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เราจะใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในช่วงเวลานั้น มันมีคำนึงในหัวคือ ‘ทำไปเถอะ ทำอะไรก็ไม่ผิด’ เพราะทุกคนก็ไม่รู้เท่าๆกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ แล้วเราจะไปกลัวอะไรล่ะ

จากที่เรามีเพื่อนๆที่เป็นผู้ผลิต เกษตรกร ที่ไม่สามารถส่งสินค้าไปขายในโรงแรมและร้านอาหารได้เหมือนเดิม เนื่องจากการประกาศปิดสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรือโรงแรม และในขณะเดียวกันก็มีเพื่อนบ้านเราซึ่งเป็นผู้บริโภค ที่ไม่อยากออกจากบ้านไปซื้ออาหารเพราะความกังวลใจเรื่องโรคระบาดนี้

เมื่อเรากลับมามองสิ่งที่มี สิ่งรอบตัวเรา เราเริ่มพยายามหาทางเชื่อมโยงเรื่องราว สุดท้ายเราก็ได้ไอเดียการทำ ‘รถพุ่มพวงออแกนิก’ เราใช้เงินก้อนไม่ใหญ่นักไปซื้อรถคันจิ๋ว ใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นรถที่ใช้ในการทำไร่ทำสวน มาดัดแปลง นำสินค้าที่ได้มาจากญาติๆของเราจัดลงรถและออกขายในวันที่ 1 เมษายน 2563

น้องๆทีมงานร่วมมือกันทำงานที่ตัวเองถนัด บางคนเคยทำบัญชี ช่างภาพ ถึงแม้จะไม่ได้ทำสิ่งนี้มานาน แต่วันนี้ก็เป็นวันที่พวกเราต้องกลับมาใช้มันอีกครั้งเราใช้ผนังตู้คอนเทนสีขาวเป็นฉากหลังการถ่ายรูปสินค้า น้องรีเซปชั่นผู้ไม่เคยทำเว็ปไซท์มาก่อน ร่วมมือกับเพื่อนบ้านต่างชาติทำเว็ปไซท์เสร็จภายในหนึ่งสัปดาห์

น้องบางคนไม่เคยกินอาหารฝรั่งด้วยซ้ำ แต่ต้องมาทำกราโนล่าขาย เราปรับเปลี่ยนโยเกิร์ตที่พวกเราเคยทำให้แขกมาอยู่ในภาชนะพร้อมขาย ทุกวันเราจะออกตระเวนในย่านอารีย์ราวๆสี่โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ตามตารางเวรว่าใครจะเป็นคนขับ เราแวะพูดคุยกับเพื่อนบ้าน และด้วยความที่รถเราหน้าตาเป็นมิตร สิ่งที่ได้มากกว่าการขายสินค้าคือรอยยิ้มของผู้คนย่านนี้ เราได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากคนในอารีย์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของ การอนุญาตให้จอดรถหน้าบ้าน หรือแม้แต่น้ำใจที่เอาอาหารมาแบ่งกัน รายได้ที่ได้มานั้นไม่ได้มากมาย แต่เราจัดการกับรายได้โดยการให้ทีมงาน น้องๆทุกคนไปคิดต้นทุน กำไร และแบ่งเงินกันเอง นี่เป็นโอกาสที่ดีในการที่ทุกคนจะได้มีหน้าที่รับผิดชอบ และได้ทำสิ่งใหม่ๆในชีวิต

เราจะ ‘รอด’ แต่คนอื่นต้อง ‘รอด’ ด้วย

ทำไมเราถึงทำ รถชำออแกนิก? มีสองเรื่องนะ เรื่องแรกกลุ่มเพื่อนที่รู้จักนั้นก็มาสายนี้กันหมดเลย แต่อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เรามีลุงป้าที่เป็นคนขายของชำในรถพุ่มพวงอยู่แล้ว เรานำโจทย์นี้มาคิดด้วยว่าถึงแม้เราจะหาทางรอดของเราแต่เราก็ไม่ควรจะไปเบียดเบียนใครจากการมีธุรกิจเราบนโลกใบนี้ เราจึงไม่คิดขายของเหมือนที่รถชำต้นฉบับขายอยู่

ขณะที่เราเปลี่ยนตัวเองจากธุรกิจที่พักไปเป็นร้านชำ เราไม่เคยทิ้งความเชื่อเดิมของเราเลย เราเคยเชื่อว่า ทุกคนคือญาติพี่น้อง เหมือนชื่อของ ‘บ้านญาติโฮสเทล’ เราก็ยังคงคิดแบบนั้นและดูแล คิดถึงคนอื่นในแบบเดิม เราเพียงแค่ทำหน้าที่กับคนใหม่เท่านั้น จากแขกต่างชาติ มาเป็นการดูแล

แต่เมื่อภาวะความตึงเครียดจากการระบาดลดลง การคลายล็อกดาวน์ก็มีผลกับชีวิตพวกเราอีกครั้ง ยอดขายร้านชำลดลงอย่างน่าตกใจ คราวนี้ถึงเวลาเรียก ‘สติ’ กลับมาอีกครั้ง เรายังคงใช้วิธีเดิมแบบที่ได้ร่ำเรียนมาจาก ‘พอแล้วดี’ คือการกลับมาที่ตัวเอง ว่าเรามีอะไร เราทำอะไรได้ เราเหลืออะไรบ้าง

เรานั่งมองสนามและต้นไม้ใหญ่ที่ The Yard นิ่งๆ นานๆอยู่หลายวัน จนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ชีวิตชีวาควรจะกลับมาที่สนามบ้านเรา เราเริ่มมองเห็นความต้องการของผู้คนที่อยากพบเจอกัน แต่ก็ไม่อยากอยู่ในพื้นที่ปิดที่มีเครื่องปรับอากาศ บ้านเรานี่แหละ ตอบโจทย์ทุกคนได้ดีที่สุด ทั้ง ‘โล่ง’ และ ‘ร้อน’ เชื้อโรคน่าจะกลัวกันจนหนีแทบไม่ทันเลยแหละ

เราจะไม่ทำสิ่งที่เราไม่ถนัด

The Yard เราถนัดเรื่องการทำที่พัก แต่เราไม่ถนัดทำอาหารเลย แต่อาหารนั้นเป็นธุรกิจที่พอไปได้ในช่วงนี้ เราจะลองพยายามดูกันมั้ย ใช่ เราพยายาม แต่เราพยายามเอาโจทย์นี้มาปรับให้เข้ากับพวกเราที่สุด อะไรที่ง่าย อะไรที่เราจะสนุก เราถึงจะทำคำตอบออกมาง่ายมาก เราทำบาร์บีคิว ที่ให้ลูกค้าทำเอง เหมือนกับตอนที่เราจัดให้แขกเราที่เป็นนักท่องเที่ยว เป็นกิจกรรมที่ทำกันประจำและสนุก แต่ตอนนั้นทำเป็นกิจกรรมแตกต่างกับตอนที่ทำขาย

เราพยายามหาความรู้เรื่องเนื้อวัว เรื่องหมู ที่เป็นอินทรีย์ ที่มาจากในประเทศ เพื่อได้สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยบ้านเรา เราต้องหาความรู้เรื่องอุณหภูมิสุกของเนื้อชนิดต่างๆ จนถึงขั้นต้องมีเทอโมมิเตอร์ให้ลูกค้าไว้ใช้ด้วย

เราขอความรู้จากพี่ๆน้องๆที่เป็นเชฟมาช่วยสอนการทำซอสบาร์บีคิวจนได้รสชาดที่ดีและไม่ยากจนเกินไป เราใช้เนื้อไทยวากิวจากจังหวัดสุรินทร์ เราใช้หมูคุโรบุตะจากจังหวัดน่าน คนจองกันเข้ามาใช้พื้นที่เราแบบเกินความคาดหมาย ทำให้เราคิดว่า เราจะรอดแล้วนะ

แต่แล้วเมื่อมีการระบาดรอบที่สอง…เราโดยยกเลิกการจองเกือบหมดภายในวันเดียว!!

The Yard

รู้จักที่จะ ‘หยุด’ ด้วยเหตุด้วยผล

เราตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้งที่จะบอกกับทีมงานทุกคนว่า ถึงเวลาต้องแยกย้ายแล้วล่ะ อาจจะหนึ่งเดือน หรือมากกว่านั้น หากจะมองว่าเป็นการยอมแพ้ก็เป็นไปได้ แต่ในส่วนตัวเราเองนั้นประเมินแล้วว่า หัวจิตหัวใจของผู้คนไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว หลายคนเหนื่อยล้า บรรยากาศต่างกับการระบาดรอบแรกมาก เราประเมินว่าเราไม่ได้อยู่ในจุดที่ควรจะสู้ เราควรเก็บพลังและทรัพยากรเราไว้ในวันที่เรามีโอกาสดีกว่านี้ดีกว่า เราคิดว่าการที่เราตัดสินใจ หยุด ไม่ได้ผิด ถ้าเรามีเหตุมีผลเพียงพอ

ทำธุรกิจ สะสม ‘ภูมิคุ้มกัน’

หลังจากผ่านเหตุการณ์เหมือนอยู่ในสงครามมาหนึ่งปี ถึงแม้จะยังไม่จบแต่บทเรียนที่เราได้รับนั้นมากมาย วันที่เริ่มต้นวิกฤติโควิดใหม่ๆ สิ่งที่เรากังวลคือ เรามีแต่ลูกค้าที่มาจากต่างบ้านต่างเมือง เราจะทำมาหากินอะไรกับคนไทยกันเองได้ เราไม่มีแฟนคนไทยเลย

แต่สิ่งที่เราได้รับมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราคิดทั้งหมด มีคนเข้ามาสนับสนุนเราทั้งตอนทำร้านชำและตอนทำบาร์บีคิว ประโยคที่หลายคนพูดเหมือนกันคือ ติดตาม The Yard มานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะสนับสนุนเรายังไง วันนี้มีสิ่งที่เค้าช่วยเราได้ เค้าเลยมาช่วย

นี่คือสิ่งที่เราคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่เรามีภูมิคุ้มกันในการทำธุรกิจ โชคดีที่เราตั้งใจปลูกต้นไม้ตั้งแต่หกปีที่แล้วจนใหญ่ครึ้มทั้งสนาม โชคดีที่เราปลูกความสัมพันธ์กับคนในย่านเรา โชคดีที่เราไม่ได้สนใจแต่ผลกำไรจนเกินพอดี นี่คือสิ่งที่เราได้พิสูจน์แล้วในเหตุการณ์ที่ผ่านมาหนึ่งปีว่า ไม่ว่าเราจะย่ำแย่ อยู่ในความยากลำบากขนาดไหน การคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้ทำให้เรารอด สิ่งที่ทำให้เรารอดได้จริงคือการคิดถึงผู้อื่นด้วย และเมื่อเราคิดถึงสังคม วันที่เราต้องเผชิญกับปัญหา สังคมจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด เราจะรู้สึกอุ่นใจที่มีคนคอยโอบอุ้มเรา

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ง่าย The Yard เองก็พบกับปัญหาเหมือนทุกคนและไม่ได้เข้มแข็งทุกวันโดยไม่มีวันย่อท้อ เรามีวันที่เราเหนื่อยเหมือนกัน แต่ทุกครั้งเราต้องกลับมาตั้งสติ มองสิ่งที่เรามี ประมาณตัวเอง หาเหตุผลในการตัดสินใจ

วันนี้มันยากสำหรับพวกเราทุกคน มันตระหนก มันตกใจ การเดินแบบมีหลักคิดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ‘พอแล้วดี’ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นสิ่งนำทางให้เราดึงตัวเองกลับมามาสติและใช้ชีวิตแบบที่มีคุณค่ากับตัวเองและสังคมไปพร้อมๆกันได้ โดยมีความดีเป็นภูมิคุ้มกัน เชื่อว่าพวกเราจะรอดไปด้วยกัน ด้วยหลักคิดเดียวกัน

:::
พอแล้วดี The Creator : อติพร สังข์เจริญ (ส้ม)
ธุรกิจ : The Yard Hostel Bangkok