“แก่นของแฟชั่นคือการสะท้อนตัวตนที่มีคุณค่า ไม่ใช่การใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง”
ธุรกิจเครื่องหนังของครอบครัวที่สืบทอดมากว่า 60 ปี สู่แบรนด์แฟชั่นคุณภาพที่มีชื่อเสียงในระดับสากล คุณเก๋มีแนวคิดในการดึงจุดเด่นจากทักษะงานฝีมืออันประณีต ผสมผสานกับงานออกแบบที่ทันสมัย และเป็นเอกลักษณ์ พร้อมจะแบ่งปันชิ้นงานที่เต็มไปด้วยคุณค่า และความสร้างสรรค์ให้กับสังคม เพราะสำหรับคุณเก๋ เมื่อรู้จักคำว่า “พอ” ก็พบว่าความสุขเกิดขึ้นได้จากการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน
ชื่อ : บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ (เก๋)
ธุรกิจ : 31 THANWA
จังหวัด : กรุงเทพมหานคร
จากธุรกิจรองเท้าของครอบครัว สู่ธุรกิจกระเป๋า 31 THANWA
เริ่มต้นจากธุรกิจรองเท้าหนังของครอบครัวที่มีประวัติความเป็นมากว่า 60 ปี เก๋เลือกที่จะสานต่อภูมิปัญญาช่างฝีมือเครื่องหนัง โดยปรับเข้ากับความชอบและความถนัดของตนเองในด้านงานกระเป๋า ซึ่งได้มีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการผลิตในทุกขั้นตอน อีกทั้งมีการผสมผสานระหว่างเทคนิคการทำรองเท้ามาประยุกต์เข้ากับการทำกระเป๋า จนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ 31 THANWA ที่มีความพิถีพิถันและความแข็งแรงคงทนกว่ากระเป๋าทั่ว ๆ ไป
31 THANWA จุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ ๆ แค่ใบเดียวก็เพียงพอ
แบรนด์ 31 THANWA มีที่มาจากวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของเก๋ และอีกนัยหนึ่งก็หมายถึงการเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งการออกคอเล็คชั่นใหม่ของ 31 THANWA นั้นไม่ได้อิงตามฤดูกาลเหมือนแบรนด์แฟชั่นอื่น ๆ แต่จะเป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในทุกวันที่ 31 ของแต่ละเดือน ด้วยแนวความคิดของกระเป๋า 31 THANWA ที่ว่า “One Is Enough” หรือแค่เพียงใบเดียวก็เพียงพอกับการใช้งานในทุกวัน จึงมีการออกแบบให้สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายในใบเดียว โดยที่ไม่ทิ้งความเป็นแฟชั่นที่ไม่ตกยุค เพื่อให้กระเป๋าใบนั้นเป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความความคิดและพร้อมที่จะสร้างคุณค่าให้กับสังคม
ความยั่งยืนขององค์ความรู้งานเครื่องหนังและชีวิตช่างฝีมือไทย
งานของ 31 THANWA มีความหมายมากกว่าการเป็นแค่กระเป๋า เพราะการที่ครูช่าง 1 คนถ่ายทอดภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์กระเป๋า 1 ใบ เปรียบเสมือนการบรรจุชีวิตและจิตใจของพวกเขาไว้ในนั้น เพื่อส่งต่อความตั้งใจให้แก่เจ้าของกระเป๋าได้ใช้งานอย่างรู้คุณค่า และช่วยสืบสานองค์ความรู้ด้านงานคราฟท์ที่สืบต่อมาหลายช่วงอายุ ตลอดจนช่วยสร้างชีวิตใหม่ให้ครูช่างผ่านผลงานอันน่าภูมิใจ
คำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พึงระลึกอยู่เสมอ
“การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่าย จะเข้ามาแทนที่และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว แต่ละคนจึงต้องตั้งใจและเพียรพยายามให้สุดกำลัง ในการสร้างเสริมและสะสมความดี”
(พระบรมราโชวาทพระราชทาน แก่ผู้สำเร็จการศึกษา ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ สวนอัมพร 14 สิงหาคม 2525)
หลายครั้งที่ประสบกับตัวเองว่า คนที่คดโกง เอาเปรียบผู้อื่น ไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่การงานของตนเอง แต่กลับร่ำรวย มีฐานะ การงานที่ดี ในขณะที่คนที่ตั้งใจทำดี ประพฤติดี กลับไม่ได้รับโอกาสดี ๆ หรือ กลับถูกดูถูกดูแคลน ทุกครั้งที่ประสบกับความรู้สึกแบบนี้ในใจของตนเอง จะพึงระลึกเสมอว่า ขนาดท่านเองที่เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ยังหมั่นเพียรทำความดี และต้องอดทนลำบากมากแค่ไหน ตั้งใจมุมานะทำหน้าที่ และปฎิบัติพระราชกรณียกิจอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อประชาชนของท่าน เพื่อให้ลูก ๆ ทุกคนมีความสุข และดำรงชีพอยู่ได้ด้วยตนเอง จึงนำมาเตือนสติตนเองเสมอว่า ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือเห็นผลช้าในการกระทำความดี แต่เรายังคงต้องพึงกระทำต่อ ๆ ไป ท่านเหนื่อยกว่าเรามากมาย ท่านยังคงทำต่อไป และเราเป็นใคร? เราเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดา ประกอบอาชีพ ทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง และครอบครัวเท่านั้นเอง ทำไมเราถึงจะทำความดีและตั้งใจทำมันต่อไปไม่ได้ ถึงแม้มันจะเห็นผลช้า แต่มันก็ทำให้ชีวิตเรามีคุณค่า และได้สร้างสิ่งที่มีค่าให้กับผู้อื่นและสังคม …ถ้าเราเหนื่อย พ่อเหนื่อยกว่าเรามาก ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ จงอย่าเหนื่อยที่จะทำความดี พ่อลงมือทำ ทำทุก ๆ วัน พ่อก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย และเราผู้เป็นลูกจะเหนื่อยมากกว่าพ่อได้อย่างไร
สิ่งที่อยากฝากไว้ในฐานะ พอแล้วดี The Creator รุ่น 2
แบรนด์แฟชั่น มันจะพอแล้วดีอย่างไร? มักจะเป็นคำถามแรก ๆ ที่หลายคนมักตั้งคำถามและไม่เชื่อว่ามันจะทำได้จริงๆ… ตนเองนั้นก็เช่นกัน ก่อนที่จะได้เรียนรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก็คิดเพียงแต่ว่า การที่เราทำกิจกรรมอะไรสักอย่างเพื่อสังคม มันก็คงจะเพียงพอแล้ว เหมือนที่คนอื่น ๆ เค้าทำกัน… แต่ความคิดเหล่านั้น ได้เปลี่ยนไปทั้งหมดเมื่อได้รับองค์ความรู้ที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้จริง ๆ โอกาสที่ดีในชีวิตที่เปรียบเสมือนเป็นกระจกบานใหญ่ที่ส่องให้เห็นว่า ตัวเราคือใคร ทำไปเพื่ออะไร และได้สร้างคุณค่าอะไรเพียงเรารู้จักตัวเราเองเพียงพอ ที่จะทำให้เรารู้จุดแข็ง จุดอ่อนของตนเอง อะไรที่เรารู้และทำได้ดี และอะไรที่เราไม่รู้ เราจึงต้องแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราลุกขึ้นมาแสดงตัวตนของเราและสร้างจุดยืนที่ชัดเจนในสังคม… เมื่อรู้จักตัวเอง ก็ต้องเลือกที่จะทำทุกอย่างอย่างมีเหตุและผล ประกอบกับองค์ความรู้ มันช่วยให้เราเห็นภาพของแบรนด์เราชัดขึ้นเสมือนเข็มทิศที่ช่วยนำทาง รู้ว่าเราจะเดินไปในทางไหน และทางที่เราเลือกเดิน กลับทำให้เรามีความสุขใจมากกว่าเดิม เพราะเรารู้จักคำว่า “พอ” ของการทำธุรกิจ “พอที่จะทำให้เราและครอบครัวเรามีความสุข”… แต่คำว่า พออย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ ต้องทำดีอย่างพอดี การนำเอาความรู้มาสร้างสรรค์ เพื่อส่งมอบคุณค่าและแบ่งปันให้คนอื่น ๆ มีความสุขเฉกเช่นกับเราและครอบครัวนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราโตอย่างยั่งยืน ถึงแม้เราจะเป็นแบรนด์เล็ก ๆ คนตัวเล็ก ๆ แต่เรามีภูมิคุ้มกันจากคนที่รักเราคอยปกป้องและแบ่งปันพลังให้เราเช่นเดียวกัน พอแล้วดี ใช่ว่าจะเป็นแค่ธุรกิจ หรือ แบรนด์เกี่ยวกับเกษตรกรรม สังคม แต่มันคือหลักที่เราทุกคนสามารถพึงปฏิบัติได้ในทุก ๆ วัน เพราะถ้าแบรนด์คือลูกตัวน้อย ๆ ของเรา เราทุกคนก็อยากให้ลูกเราโตมามีความสุข มีแต่คนรัก และเป็นคนดีที่มีคุณค่าทำให้สังคมน่าอยู่ “โตด้วยความรัก และเจริญเติบโตไปด้วยความรักและมีคุณค่า”